หม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา มีชื่อเดิมว่า ซิริล แมรี่ จอร์จินา เฮย์คอค (อังกฤษ: Cyril Mary Georgina Heycock) เกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2459 พระชายาชาวอังกฤษ และเป็นพระชายาคนแรกของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ซึ่งสมรสครั้งแรกในปี พ.ศ. 2481 ก่อนที่จะหย่ากันในปี พ.ศ. 2492 และกลับมาสมรสอีกครั้งในปี พ.ศ. 2526 จนกระทั่งพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2528
หม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา มีชื่อเดิมคือ ซิริล เฮย์คอค เกิดในตระกูลที่มีบิดาสืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าแก่ บิดาชื่อ นายพันโท ป.ร. เฮย์คอค นอกราชการ ส่วนตระกูลทางฝั่งมารดาก็เป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยจนได้บรรดาศักดิ์เป็น เซอร์ และมีญาติคนหนึ่งเคยเป็นนายกเทศมนตรีของลอนดอนซึ่งเคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแล้ว
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช มีความสามารถในการแข่งรถ ทั้งยังเป็นนักกีฬาที่โปรดปรานการแล่นเรือ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีหัวทางศิลปะ ควบคู่ไปกับการกีฬา จนตัดสินพระทัยไม่เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่เบนเข็มไปศึกษาด้านประติมากรรมแทน โดยทรงไปศึกษาเรื่องการวาดลายเส้นที่ Byam Shaw Art School ซึ่งที่นี่เอง พระองค์ก็ทรงพบหญิงสาวสวยชาวอังกฤษซึ่งก็คือ ซิริล เฮย์คอค นั่นเอง
พระองค์พีระและซิริลหลงรักกันตั้งแต่แรกพบ จนกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด เธอก็เลยกลายมาเป็น หม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา เดินทางมาประเทศไทยพร้อมกับพระสวามี และโดยส่วนตัวหม่อมซิริลเองก็ชอบประเทศไทยมาก
แต่ชีวิตรักของทั้งสองเองก็ยืนยาวได้เพียง 11 ปี พอขึ้นปีที่ 12 ปี ด้วยความที่พระองค์พีระทรงเป็นคนดังบุคลิกดี และสามารถตรัสได้คล่องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และยังใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง ได้กลายเป็นแรงดึงดูดผู้หญิงอื่นให้เข้ามาหลงใหลพระองค์ พระองค์พีระมิได้เลิกรักหม่อมซิริลเพียงแต่ว่าเมื่อถึงเรื่องที่ทรงพอพระทัยถ้าหากทำได้ ก็ทรงทำ ส่วนหม่อมซิริลเองก็โอนอ่อนผ่อนตามได้ไม่เดือดร้อนก็คงจะครองชีวิตคู่กันต่อไปได้ โดยถือว่าพวกผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่มีความหมายกับท่านเท่าภรรยาตามกฎหมาย แต่ว่าหม่อมซิริลทำใจไม่ได้ที่พระองค์พีระมีหญิงอื่นแม้จะไม่ทรงจริงจังด้วยนัก แต่เธอถือว่าเป็นความเดือดร้อนสาหัสของภรรยา หม่อมซิริลก็ตัดสินใจแยกกันอยู่พักหนึ่งเพื่อระงับจิตใจ โดยระหว่างที่แยกกันอยู่โดยยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สถานการณ์ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองห่างเหินกันมากขึ้นอีก
ในระหว่างที่พระองค์พีระทรงแข่งขันที่ประเทศอาร์เจนตินา ก็ทรงพบกับชลิต้า โฮเวิร์ด เมื่อครั้งที่พระองค์พีระทรงได้รับบาดเจ็บจากการแข่งรถ ก็มีชลิต้าคอยปรนนิบัติดูแล จนที่สุดพระองค์ก็ทรงพาชลิต้ากลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับหล่อนไม่ได้กลับบ้านไปหาหม่อมซิริล เมื่อเป็นเช่นนั้น หม่อมซิริลจึงตัดสินใจหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมาย ในปี ค.ศ. 1950 ทั้งที่ยังรัก พระองค์พีระเองก็ทั้งรักและอาลัยหม่อมซิริล ทั้งยังทรงอ้อนวอนให้หม่อมเปลี่ยนใจไม่หย่าแต่ก็ไม่ทรงคิดที่จะสละชลิต้าไปได้อยู่ดี ทั้งคู่จึงจากกันด้วยน้ำตา เพราะรู้ตัวว่าสามารถครองคู่กันได้เพียงแค่นี้ คงเหลือไว้แต่ความเป็นเพื่อน
หลังจากการหย่าจากพระองค์พีระแล้ว หม่อมซิริลเองก็ไม่ได้สมรสใหม่ แต่เธอมีเพื่อนใจเป็นหนุ่มโสดอายุกว่า 40 ปี และคบหากันมาจนฝ่ายชายได้เสียชีวิตจากไปทั้งที่ยังไม่ได้สมรสกัน ส่วนทางฝ่ายพระองค์พีระเองก็ทรงลังเลอยู่ถึง 3 ปีถึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับหม่อมชลิต้า แต่อย่างไรก็ตามพระองค์พีระก็ทรงระลึกถึงหม่อมซิริลเสมอ ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชายของหม่อมซิริล แล้วพาชลิต้าไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับหม่อม ไปไหนมาไหนกัน 4 คน แต่หม่อมซิริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก และยังคงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น
จนในปี พ.ศ. 2526 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ได้เสด็จไปยังอังกฤษอีกครั้งหลังจากการหย่าขาดจากภรรยาชาวไทย ทรงเก็บตัวอย่างชายชราที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่อแวะหาหม่อมซิริลเป็นครั้งสุดท้าย จนท้ายที่สุดพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช สิ้นพระชนม์ที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ต กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ขณะสิ้นพระชนม์ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นใคร ก่อนจะเป็นข่าวใหญ่ในสัปดาห์ต่อมา
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/หม่อมซีริล_ภาณุพันธุ์_ณ_อยุธยา